APY (ผลตอบแทนร้อยละต่อปี) ใน Crypto คืออะไร?

ในโพสต์นี้ คุณจะได้เรียนรู้ว่า APY (Annualized Percentage Yield) คืออะไรใน Crypto? มันทำงานอย่างไรใน crypto และโอกาสในการลงทุนที่ APY มีความสำคัญ

APY คืออะไร?

APY คืออัตราผลตอบแทนต่อปีจากการลงทุน แฟคตอริ่งในดอกเบี้ยทบต้นที่เกิดขึ้นหรือเติบโตตามยอดคงเหลือ ดอกเบี้ยทบต้นรวมถึงดอกเบี้ยที่ได้รับจากการฝากเงินครั้งแรก บวกกับดอกเบี้ยที่ได้รับจากดอกเบี้ยนั้น

แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วจะเกี่ยวข้องกับการออมแบบดั้งเดิม แต่ APY เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญสำหรับโปรแกรมการออมเงินเข้ารหัสลับและทำงานในลักษณะเดียวกัน นักลงทุน Crypto สามารถได้รับ APY จาก cryptocurrencies โดยการปักหลัก วางไว้ในบัญชีออมทรัพย์ หรือจัดหาสภาพคล่องให้กับกลุ่มสภาพคล่องผ่านการทำฟาร์มผลตอบแทน 

คุณสามารถเริ่มต้นรับ APY จาก crypto ของคุณได้อย่างรวดเร็วผ่านการแลกเปลี่ยน cryptocurrency, wallets และ DeFi Decentralized Finance (DeFi) ใช้แนวคิดการกระจายอำนาจของ blockchain และนำไปใช้กับโลกแห่งการเงิน สร้าง... โปรโตคอล

โดยทั่วไปแล้ว นักลงทุนจะได้รับดอกเบี้ยในสกุลเงินดิจิทัลเดียวกันกับที่พวกเขาฝากไว้ อย่างไรก็ตาม มีบางกรณีที่สามารถชำระเงินในสกุลเงินเดียวกันหรือสกุลเงินอื่นได้

อัตราดอกเบี้ยอย่างง่ายเทียบกับผลตอบแทนร้อยละต่อปี

ในขณะที่ APY หมายถึงอัตราผลตอบแทนประจำปีที่คาดการณ์ไว้จากเงินฝากหรือเงินเดิมพันหลังจากคิดดอกเบี้ยทบต้นแล้ว อัตราดอกเบี้ยธรรมดาจะพิจารณาเฉพาะดอกเบี้ยที่ได้รับจากเงินเดิมพันเดิมเท่านั้น ดังนั้น ข้อแตกต่างที่สำคัญคือ APY จะคำนึงถึงผลกระทบของดอกเบี้ยทบต้นหากนำไปใช้ 

การทบต้นเป็นเครื่องมือการลงทุนที่ทรงพลังเพราะช่วยให้คุณได้รับรายได้เพิ่มเติมเมื่อเวลาผ่านไป ดอกเบี้ยทบต้นจะคำนวณในช่วงเวลาหนึ่ง และมูลค่าเพิ่มจะถูกเพิ่มไปยังยอดดุล ในแต่ละช่วงเวลาเพิ่มเติม ดอกเบี้ยที่จ่ายสำหรับยอดดุลโดยรวมก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ลองเดิมพัน 1,000 ดอลลาร์ในอัตราดอกเบี้ย 12% ต่อปีในเดือนมกราคม 2564 หลังจากหนึ่งปีในเดือนมกราคม 2565 โดยใช้การคำนวณอัตราดอกเบี้ยอย่างง่าย คุณจะได้รับ 1,000 × (1 + 12) %) = 1,120 เหรียญ

เงินเดิมพัน 1,000 ดอลลาร์เท่ากันที่ 12% ต่อปี แต่ด้วยดอกเบี้ยทบต้นครึ่งปีในช่วงหกเดือนแรก จะทำให้คุณ 1,000 × (1 + 6%) = 1,060 ดอลลาร์หรือยอดรวมหลังจากหกเดือน

หลังจากหนึ่งปี คุณจะได้รับ 1,060 × (1+ 6%) = $1,123.60 

$3.60 พิเศษนั้นมาจากพลังของดอกเบี้ยทบต้น ดังนั้น เปอร์เซ็นต์ผลตอบแทนต่อปีของคุณคือผลตอบแทนที่คุณจะได้รับตลอดทั้งปี: $1,123.6 ÷ $1,000 − 1 หรือ 12.36%

APY 7 วันทำงานอย่างไรใน Crypto? 

APY 7 วันคือผลตอบแทนรายปีโดยใช้ผลตอบแทน 7 วัน คำนวณโดยนำส่วนต่างสุทธิของราคาจาก 7 วันที่แล้วและวันนี้มาคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อปี 

สูตรคำนวณ APY 7 วัน มีดังนี้

APY = (X − Y − Z) ÷ Y × 365/7

ที่ไหน:

X = ราคาเมื่อสิ้นสุดระยะเวลา 7 วัน

Y = ราคาเมื่อเริ่มต้นช่วง 7 วัน 

Z = ค่าธรรมเนียมใดๆ สำหรับสัปดาห์

จำนวนเงินที่คำนวณได้นี้จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจผลตอบแทนหรือผลตอบแทนรายสัปดาห์

APY แสดงถึงรายได้สุดท้ายหรือไม่?

APY หมายถึงอัตราผลตอบแทนของคุณหรือจำนวนกำไรหรือรายได้ที่คุณสามารถสร้างได้ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่คุณเลือกเดิมพันเหรียญของคุณ รายได้ขั้นสุดท้ายของคุณจะแตกต่างกันไป ระยะเวลาการถือครองจะเป็นตัวกำหนดจำนวนเงินที่คุณได้รับจริง 

วิธีคำนวณ APY ใน Crypto

APY วัดอัตราผลตอบแทนที่ได้รับทุกปีเป็นกำไรจากจำนวนเงินหรือการลงทุนใดๆ หลังจากแฟคตอริ่งในการทบต้น 

สูตรการคำนวณ APY มีดังนี้:

APY = (1 + r/n) ⁿ   − 1

ที่ไหน:

r = อัตราผลตอบแทนเป็นระยะ (หรือ APR ประจำปี)

n = จำนวนงวดการทบต้นในแต่ละปี

การคำนวณ APY ในคริปโตนั้นเหมือนกับการคำนวณในการเงินแบบดั้งเดิม และเป้าหมายก็คล้ายกันเพื่อให้ได้ผลตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์

อย่างไรก็ตาม มีวิธีอื่นในการคำนวณ APY ขึ้นอยู่กับการแลกเปลี่ยน APY คำนวณในรูปแบบดอกเบี้ยอย่างง่าย โดยผลตอบแทนรายวันแสดงถึงอัตราดอกเบี้ยที่จะฝากเข้ากระเป๋าเงินของคุณ ขึ้นอยู่กับจำนวนโทเค็นที่คุณเดิมพัน 

สูตรมีดังนี้:

ผลตอบแทนรายวัน = จำนวนโทเค็นทั้งหมดที่เดิมพัน × (APY สำหรับโทเค็นที่เดิมพัน ÷ 365)

ตัวอย่างเช่น หากคุณเดิมพัน 10,000 USDT เพื่อรับประกัน APY ที่ 9% คุณสามารถรวบรวมการปัดเศษเป็นจำนวนเต็มที่ใกล้เคียงที่สุดที่ 2.5 USDT ในวันถัดไป การคำนวณจะแสดงเป็น 10,000 × (0.09 ÷ 365) = 2.4657 USDT

อย่างไรก็ตาม หากคุณได้เลือกที่จะ unstake โทเค็นของคุณหลังจากรวบรวมผลตอบแทนรายวันแล้ว จะไม่มีการคืนผลตอบแทนในบัญชีของคุณ โดยพื้นฐานแล้ว การเปลี่ยนแปลงใดๆ ในสินทรัพย์ที่เดิมพันเริ่มต้นจะส่งผลต่อผลตอบแทนรายวัน 

อัตราร้อยละต่อปี (APR) คืออะไร? 

APR หรืออัตราร้อยละต่อปี คือดอกเบี้ยที่คุณได้รับจากสินทรัพย์ที่ลงทุนของคุณในหนึ่งปี โดยแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ ตัวเลขนี้อาจรวมค่าธรรมเนียมที่ผู้กู้จ่าย เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์การลงทุนต่างๆ เนื่องจากมีพื้นฐานที่สอดคล้องกันสำหรับการนำเสนอข้อมูลอัตราดอกเบี้ยรายปี 

APY และ APR ฟังดูคล้ายกันมาก อย่างไรก็ตาม ต่างจาก APY ตรงที่ APR ไม่ได้คำนึงถึงการทบต้น

ตัวอย่างเช่น หากคุณเดิมพัน 10,000 เหรียญที่ APR 10% คุณจะได้รับ 1,000 เหรียญเป็นดอกเบี้ยหลังจากหนึ่งปี แต่ด้วย APY สถานการณ์จะเปลี่ยนไปอย่างมาก 

ในการคำนวณ APR คุณสามารถใช้สูตรต่อไปนี้: 

เมษายน = [(ค่าธรรมเนียม + ดอกเบี้ย) ÷ เงินต้น] ÷ n × 365 × 100 

ที่ไหน:

P = เงินลงทุนหลัก 

N = จำนวนวันในเทอม

ในด้านการเงินแบบดั้งเดิม APR มักใช้เพื่อหารือเกี่ยวกับเงื่อนไขสำหรับผู้กู้ เช่น อัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่ผู้กู้ต้องจ่าย อัตราดอกเบี้ยร้อยละนี้สามารถอ้างถึงร้อยละที่จ่ายให้กับนักลงทุน โดยทั่วไป APY สำหรับเงินกู้จะสูงกว่า APR ที่สอดคล้องกันเนื่องจากผลกระทบของการทบต้น

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อ Crypto APY

เงินเฟ้อ

อัตราเงินเฟ้อหมายถึงการสูญเสียมูลค่าของสกุลเงินเมื่อเวลาผ่านไป ภายในการเข้ารหัสลับ อัตราเงินเฟ้อหมายถึงกระบวนการในการเพิ่มโทเค็นใหม่ให้กับเครือข่ายบล็อคเชน โดยปกติจะมีอัตราที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ความน่าสนใจของ cryptocurrencies เช่น Bitcoin คือพวกเขาได้รับการออกแบบให้มีอัตราเงินเฟ้อที่คาดการณ์ได้และต่ำ 

อัตราเงินเฟ้อสำหรับเครือข่ายหนึ่งๆ ส่งผลต่อผลตอบแทนจากการปักหลัก หากเหรียญของคุณประสบกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่า APY ของคุณ รายได้ของคุณก็จะลดลงอย่างรวดเร็วพอๆ กับที่คุณเพิ่มเข้าไป

อุปสงค์และอุปทาน

เช่นเดียวกับเศรษฐกิจตลาดใดๆ กฎของอุปสงค์และอุปทานมีอิทธิพลต่อการกำหนดราคา เจ้าของสกุลเงินดิจิทัลสามารถให้ยืมเงินดิจิทัลเพื่อสร้างรายได้ดอกเบี้ยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากได้รับดอกเบี้ยจากความต้องการยืมสกุลเงินดิจิทัลนั้น การเปลี่ยนแปลงของตลาดจึงสามารถกำหนดอัตราได้ 

อัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากการยืมเงินมีแนวโน้มลดลงเมื่อมีอุปทานเพียงพอ และสูงขึ้นเมื่อขาดแคลน ในทำนองเดียวกัน crypto APY เป็นตัวแปร โดยเปลี่ยนแปลงไปตามระดับความต้องการและสภาพคล่องของแต่ละเหรียญ

ช่วงเวลาทบต้น

การคำนวณ APY ยังได้รับอิทธิพลจากปริมาณของการผสมที่ใช้ ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ จำไว้ว่า APY จะเพิ่มขึ้นหากจำนวนงวดการทบต้นเพิ่มขึ้น 

มาดูตัวอย่างกัน หากคุณฝากเงิน $100,000 ทบต้นทุกเดือนที่ 5% ต่อปี APY ของคุณจะเป็น 5.116% การคำนวณที่ใช้คือ 100,000 × (1 + 0.05 ÷ 12)^(12) ยอดคงเหลือของคุณจะเท่ากับ 105,116 ดอลลาร์ภายในสิ้นปี 

ในทางกลับกัน หากทำการทบต้นเป็นรายวัน ยอดคงเหลือสุดท้ายของคุณจะเป็น $105,127 โดยมี APY 5.126% ภายในสิ้นปี การคำนวณที่ใช้คือ 100,000 × (1 + 0.05 ÷ 365)^(365)

ยิ่งคุณสนใจโอกาสเติบโตมากเท่าไร ก็ยิ่งได้รับมากขึ้นเท่านั้น 

การลงทุน Crypto ที่เกี่ยวข้องกับ APY

หากคุณเป็นประเภท HODLing คุณไม่จำเป็นต้องเก็บ crypto ของคุณไว้ในกระเป๋าเงินและรอให้มันมีค่า

มีวิธีการลงทุน crypto ของคุณและดึงเอาความมหัศจรรย์ของดอกเบี้ยทบต้นหรือ APY มาใช้เพื่อการเติบโตและเพิ่มพูนสินทรัพย์ของคุณ

การให้ยืมและการยืม Crypto

หากกรอบเวลาเป้าหมายของคุณใน crypto เป็นระยะยาว คุณจะได้รับไมล์สะสมมากขึ้นจากการถือครองด้วยการให้กู้ยืมเงินดิจิทัล

การให้ยืม Crypto ทำงานในลักษณะเดียวกับการให้กู้ยืมแบบเดิม แต่ไม่มีเทปสีแดงและเอกสารทั้งหมด นอกจากนี้ คุณกำลังให้ยืมเงินดิจิตอลมากกว่าเงินกระดาษ เมื่อคุณแจก crypto ของคุณบนแพลตฟอร์มที่กระจายอำนาจให้กับผู้ยืม คุณจะได้รับดอกเบี้ยหรือเงินปันผลจากการเข้ารหัสลับ อัตราดอกเบี้ยสามารถอยู่ในช่วงตั้งแต่ 3% ถึง 17% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์ม 

ในขณะที่การให้กู้ยืมเงินคริปโตช่วยให้นักลงทุนมีรายได้แบบพาสซีฟ ผู้กู้ยังได้รับประโยชน์จากสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย 

การยืม Crypto

สมมติว่าคุณมี 10 BTC และคุณต้องการเงินสดโดยด่วน — แต่คุณไม่ต้องการขาย cryptos ใดๆ ของคุณเพราะคุณเชื่อว่ามูลค่าจะเป็นพาราโบลาในอนาคต คุณกลัวว่าหากคุณขน Bitcoin ออก คุณอาจจะได้เงินดิจิทัลน้อยลงเมื่อคุณซื้อคืนในภายหลัง 

แล้วคุณทำอะไรได้บ้าง?

แพลตฟอร์มการให้ยืม Crypto จะช่วยให้คุณใช้ 10 BTC ของคุณเป็นหลักประกันและรับเงินกู้ แต่โปรดทราบว่าคุณอาจต้อง "วางหลักประกันมากเกินไป" ซึ่งเป็นวิธีที่ดีในการบอกว่าคุณจะต้องล็อกคริปโตมากกว่าจำนวนเงินที่คุณต้องการใช้เป็นเงินกู้ 

เมื่อคุณชำระคืนเงินกู้ของคุณเต็มจำนวน BTC ที่ค้ำประกันของคุณจะถูกส่งคืน — และหากตลาดชอบคุณ BTC นั้นอาจจะแข็งค่าขึ้น

การให้ยืม Crypto

แพลตฟอร์มการให้ยืมเชื่อมต่อผู้ให้กู้ crypto กับผู้กู้ นี่คือวิธีการทำงานของการให้ยืม crypto:

ผู้กู้ขอเงินกู้จากแพลตฟอร์มการให้ยืม เมื่อแพลตฟอร์มอนุมัติคำขอแล้ว ผู้ยืมจะต้องวางเงินดิจิทัลบางส่วนไว้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการให้กู้ยืม ผู้ให้กู้ให้เงินกู้ยืมและได้รับการจ่ายดอกเบี้ยเป็นระยะตาม APY ที่ตกลงกันไว้ สิ่งนี้จะดำเนินต่อไปจนกว่าจะสิ้นสุดอายุเงินกู้

ผู้ยืมจะคืนเงินกู้ทั้งหมด จากนั้นจึงจะได้รับเงินดิจิทัลที่มีหลักประกันคืน

การลงทุนในการให้กู้ยืมเงินคริปโตนั้นตรงไปตรงมา ขั้นแรก หาแพลตฟอร์มสินเชื่อที่ดี มีสองประเภท: แพลตฟอร์มแบบกระจายศูนย์และแบบรวมศูนย์ สัญญาอัจฉริยะใช้งานแพลตฟอร์มการให้กู้ยืมแบบกระจายอำนาจโดยไม่ต้องมีคนกลาง ในทางตรงกันข้าม แพลตฟอร์มแบบรวมศูนย์เกี่ยวข้องกับบุคคลที่สามที่จัดการกระบวนการให้กู้ยืม 

ก่อนลงชื่อสมัครใช้แพลตฟอร์มการให้ยืม โปรดทำการตรวจสอบสถานะและตรวจสอบว่าแพลตฟอร์มดังกล่าวมีชื่อเสียง จากนั้นยืนยันและเปรียบเทียบ APY ที่เสนอเพื่อรับประโยชน์สูงสุดจากสินทรัพย์ดิจิทัลของคุณ

ผลผลิตทางการเกษตร

การทำฟาร์มให้ผลตอบแทนหมายถึงการให้ยืมสินทรัพย์ crypto ของคุณในเชิงรุกเพื่อสร้าง crypto มากขึ้น เกษตรกรผู้ให้ผลผลิตย้ายสินทรัพย์ของตนไปรอบ ๆ ตลาดต่าง ๆ เพื่อค้นหาผลตอบแทนสูงสุดและปฏิบัติต่อแนวทางดังกล่าวเหมือนกลยุทธ์การซื้อขาย เกษตรกรผู้ให้ผลผลิตที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดกำลังติดตาม APY และใช้ประโยชน์จากโอกาสที่ร่ำรวยที่สุดอย่างต่อเนื่อง เกษตรกรที่ให้ผลตอบแทนมักจะได้รับอัตราที่สูงกว่าที่พวกเขาจะได้รับจากการประหยัดสกุลเงินคำสั่งในธนาคาร

การปักหลัก Crypto

การปักหลัก Crypto เป็นวิธีการรับรางวัลด้วย crypto ของคุณโดยการยืนยันธุรกรรม cryptocurrency บนเครือข่าย blockchain โดยพื้นฐานแล้ว คุณสามารถสร้างรายได้ของคุณบนเครือข่าย PoS ที่นำผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมารวมกันเพื่อยืนยันเครือข่าย คุณไม่เพียงแต่รักษาความปลอดภัยเครือข่ายเท่านั้น แต่คุณยังได้รับการเข้ารหัสลับในกระบวนการอีกด้วย

ยิ่งคุณมอบเหรียญให้กับเครือข่ายมากเท่าใด คุณก็ยิ่งมีโอกาสได้รับเลือกให้เป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้องในการเพิ่มบล็อกในบล็อกเชน คุณไม่จำเป็นต้องมีฮาร์ดแวร์พิเศษใดๆ เพื่อรับรางวัลต่างจากการขุด crypto เมื่อคุณเดิมพัน คุณจะล็อค crypto ของคุณ นำออกจากการหมุนเวียนตามระยะเวลาที่กำหนด สิ่งนี้จะจำกัดอุปทานของเหรียญอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจส่งผลกระทบในทางบวกต่อมูลค่าของเหรียญ

คุณสามารถทำอะไรกับดอกเบี้ยที่ได้รับ? 

ดอกเบี้ยที่ได้รับจะเข้าสู่พอร์ตโฟลิโอของคุณเนื่องจากผลกำไรที่ได้รับจากการทำงานที่ค่อนข้างน้อย นี่คือคำจำกัดความของรายได้แบบพาสซีฟ คุณสามารถพยายามรับดอกเบี้ยมากขึ้นจากรายได้นั้น หรือคุณสามารถใช้ดอกเบี้ยที่ได้รับและนำไปใช้ในการซื้อขาย ตลาดคริปโตเคอเรนซี่นั้นสุกงอมพร้อมโอกาสในการซื้อขายสปอตคริปโตและอนุพันธ์ 

การซื้อขาย crypto สปอตหมายถึงการซื้อและขาย cryptocurrencies ที่อัตราตลาดปัจจุบันในการแลกเปลี่ยน คุณยังสามารถซื้อขายอนุพันธ์ ซึ่งเป็นสัญญาทางการเงินที่มีมูลค่าตามสกุลเงินดิจิทัลพื้นฐาน สัญญาซื้อขายล่วงหน้า เช่น ฟิวเจอร์สและออปชั่นเสนอวิธีเพิ่มเติมในการเข้าถึงและซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล

แน่นอน คุณสามารถใช้ดอกเบี้ยที่ได้รับและใช้เป็นที่เก็บมูลค่าได้ ในฐานะที่เป็นตัวเก็บมูลค่า การเข้ารหัสลับนั้นคาดว่าจะรักษากำลังซื้อเพื่อใช้ในภายหลัง ร้านค้ามูลค่าที่มีชื่อเสียงได้รวมทองคำซึ่งเป็นสาเหตุที่สกุลเงินดิจิตอลยอดนิยมอย่าง Bitcoin มักถูกเรียกว่า "ทองคำดิจิทัล" ในการซื้อขายอนุพันธ์ มูลค่าจะถูกประเมินโดยสินทรัพย์อ้างอิง สินทรัพย์อ้างอิงสามารถเป็นสกุลเงินดิจิตอลได้เช่นกัน 

นักลงทุนทุกคนต้องการวิธีเปรียบเทียบโอกาสในการลงทุนและคำนวณกำไรที่พวกเขาทำ APY หรืออัตราผลตอบแทนต่อปีคือการคำนวณมาตรฐานของอัตราผลตอบแทนที่ใช้ในการเงินแบบดั้งเดิมและการเข้ารหัสลับ รวมถึงผลกระทบของดอกเบี้ยทบต้นซึ่งสามารถเพิ่มจำนวนเงินที่ได้รับ ยิ่ง APY สูงเท่าไร นักลงทุนก็ยิ่งทำเงินได้มากขึ้นเท่านั้น การเปรียบเทียบตัวเลือก APY ของคุณจะช่วยให้คุณค้นพบโอกาสในการลงทุนที่น่าดึงดูดที่สุด

ขอบคุณสำหรับการอ่าน!

What is GEEK

Buddha Community

Top 10 API Security Threats Every API Team Should Know

As more and more data is exposed via APIs either as API-first companies or for the explosion of single page apps/JAMStack, API security can no longer be an afterthought. The hard part about APIs is that it provides direct access to large amounts of data while bypassing browser precautions. Instead of worrying about SQL injection and XSS issues, you should be concerned about the bad actor who was able to paginate through all your customer records and their data.

Typical prevention mechanisms like Captchas and browser fingerprinting won’t work since APIs by design need to handle a very large number of API accesses even by a single customer. So where do you start? The first thing is to put yourself in the shoes of a hacker and then instrument your APIs to detect and block common attacks along with unknown unknowns for zero-day exploits. Some of these are on the OWASP Security API list, but not all.

Insecure pagination and resource limits

Most APIs provide access to resources that are lists of entities such as /users or /widgets. A client such as a browser would typically filter and paginate through this list to limit the number items returned to a client like so:

First Call: GET /items?skip=0&take=10 
Second Call: GET /items?skip=10&take=10

However, if that entity has any PII or other information, then a hacker could scrape that endpoint to get a dump of all entities in your database. This could be most dangerous if those entities accidently exposed PII or other sensitive information, but could also be dangerous in providing competitors or others with adoption and usage stats for your business or provide scammers with a way to get large email lists. See how Venmo data was scraped

A naive protection mechanism would be to check the take count and throw an error if greater than 100 or 1000. The problem with this is two-fold:

1. For data APIs, legitimate customers may need to fetch and sync a large number of records such as via cron jobs. Artificially small pagination limits can force your API to be very chatty decreasing overall throughput. Max limits are to ensure memory and scalability requirements are met (and prevent certain DDoS attacks), not to guarantee security.
2. This offers zero protection to a hacker that writes a simple script that sleeps a random delay between repeated accesses.

skip = 0
while True:    response = requests.post('https://api.acmeinc.com/widgets?take=10&skip=' + skip),                      headers={'Authorization': 'Bearer' + ' ' + sys.argv[1]})    print("Fetched 10 items")    sleep(randint(100,1000))    skip += 10

How to secure against pagination attacks

To secure against pagination attacks, you should track how many items of a single resource are accessed within a certain time period for each user or API key rather than just at the request level. By tracking API resource access at the user level, you can block a user or API key once they hit a threshold such as “touched 1,000,000 items in a one hour period”. This is dependent on your API use case and can even be dependent on their subscription with you. Like a Captcha, this can slow down the speed that a hacker can exploit your API, like a Captcha if they have to create a new user account manually to create a new API key.

Insecure API key generation

Most APIs are protected by some sort of API key or JWT (JSON Web Token). This provides a natural way to track and protect your API as API security tools can detect abnormal API behavior and block access to an API key automatically. However, hackers will want to outsmart these mechanisms by generating and using a large pool of API keys from a large number of users just like a web hacker would use a large pool of IP addresses to circumvent DDoS protection.

How to secure against API key pools

The easiest way to secure against these types of attacks is by requiring a human to sign up for your service and generate API keys. Bot traffic can be prevented with things like Captcha and 2-Factor Authentication. Unless there is a legitimate business case, new users who sign up for your service should not have the ability to generate API keys programmatically. Instead, only trusted customers should have the ability to generate API keys programmatically. Go one step further and ensure any anomaly detection for abnormal behavior is done at the user and account level, not just for each API key.

Accidental key exposure

APIs are used in a way that increases the probability credentials are leaked:

1. APIs are expected to be accessed over indefinite time periods, which increases the probability that a hacker obtains a valid API key that’s not expired. You save that API key in a server environment variable and forget about it. This is a drastic contrast to a user logging into an interactive website where the session expires after a short duration.
2. The consumer of an API has direct access to the credentials such as when debugging via Postman or CURL. It only takes a single developer to accidently copy/pastes the CURL command containing the API key into a public forum like in GitHub Issues or Stack Overflow.
3. API keys are usually bearer tokens without requiring any other identifying information. APIs cannot leverage things like one-time use tokens or 2-factor authentication.

If a key is exposed due to user error, one may think you as the API provider has any blame. However, security is all about reducing surface area and risk. Treat your customer data as if it’s your own and help them by adding guards that prevent accidental key exposure.

How to prevent accidental key exposure

The easiest way to prevent key exposure is by leveraging two tokens rather than one. A refresh token is stored as an environment variable and can only be used to generate short lived access tokens. Unlike the refresh token, these short lived tokens can access the resources, but are time limited such as in hours or days.

The customer will store the refresh token with other API keys. Then your SDK will generate access tokens on SDK init or when the last access token expires. If a CURL command gets pasted into a GitHub issue, then a hacker would need to use it within hours reducing the attack vector (unless it was the actual refresh token which is low probability)

Exposure to DDoS attacks

APIs open up entirely new business models where customers can access your API platform programmatically. However, this can make DDoS protection tricky. Most DDoS protection is designed to absorb and reject a large number of requests from bad actors during DDoS attacks but still need to let the good ones through. This requires fingerprinting the HTTP requests to check against what looks like bot traffic. This is much harder for API products as all traffic looks like bot traffic and is not coming from a browser where things like cookies are present.

Stopping DDoS attacks

The magical part about APIs is almost every access requires an API Key. If a request doesn’t have an API key, you can automatically reject it which is lightweight on your servers (Ensure authentication is short circuited very early before later middleware like request JSON parsing). So then how do you handle authenticated requests? The easiest is to leverage rate limit counters for each API key such as to handle X requests per minute and reject those above the threshold with a 429 HTTP response. There are a variety of algorithms to do this such as leaky bucket and fixed window counters.

Incorrect server security

APIs are no different than web servers when it comes to good server hygiene. Data can be leaked due to misconfigured SSL certificate or allowing non-HTTPS traffic. For modern applications, there is very little reason to accept non-HTTPS requests, but a customer could mistakenly issue a non HTTP request from their application or CURL exposing the API key. APIs do not have the protection of a browser so things like HSTS or redirect to HTTPS offer no protection.

How to ensure proper SSL

Test your SSL implementation over at Qualys SSL Test or similar tool. You should also block all non-HTTP requests which can be done within your load balancer. You should also remove any HTTP headers scrub any error messages that leak implementation details. If your API is used only by your own apps or can only be accessed server-side, then review Authoritative guide to Cross-Origin Resource Sharing for REST APIs

Incorrect caching headers

APIs provide access to dynamic data that’s scoped to each API key. Any caching implementation should have the ability to scope to an API key to prevent cross-pollution. Even if you don’t cache anything in your infrastructure, you could expose your customers to security holes. If a customer with a proxy server was using multiple API keys such as one for development and one for production, then they could see cross-pollinated data.

#api management #api security #api best practices #api providers #security analytics #api management policies #api access tokens #api access #api security risks #api access keys

Public ASX100 APIs: The Essential List

We’ve conducted some initial research into the public APIs of the ASX100 because we regularly have conversations about what others are doing with their APIs and what best practices look like. Being able to point to good local examples and explain what is happening in Australia is a key part of this conversation.

Method

The method used for this initial research was to obtain a list of the ASX100 (as of 18 September 2020). Then work through each company looking at the following:

1. Whether the company had a public API: this was found by googling “[company name] API” and “[company name] API developer” and “[company name] developer portal”. Sometimes the company’s website was navigated or searched.
2. Some data points about the API were noted, such as the URL of the portal/documentation and the method they used to publish the API (portal, documentation, web page).
3. Observations were recorded that piqued the interest of the researchers (you will find these below).
4. Other notes were made to support future research.
5. You will find a summary of the data in the infographic below.

Data

With regards to how the APIs are shared:

• Documentation is where just the Swagger/OpenAPI docs are hosted somewhere. e.g. https://api.linkgroup.com/member/docs/index
• Portal is where an interactive portal has been developed. e.g. https://dev.telstra.com/
• The web page is where the company has a single page that isn’t interactive explaining their Public APIs. e.g. https://www.bendigoadelaide.com.au/banking-products-api.asp

#api #api-development #api-analytics #apis #api-integration #api-testing #api-security #api-gateway

An API-First Approach For Designing Restful APIs | Hacker Noon

I’ve been working with Restful APIs for some time now and one thing that I love to do is to talk about APIs.

So, today I will show you how to build an API using the API-First approach and Design First with OpenAPI Specification.

First thing first, if you don’t know what’s an API-First approach means, it would be nice you stop reading this and check the blog post that I wrote to the Farfetchs blog where I explain everything that you need to know to start an API using API-First.

Preparing the ground

Before you get your hands dirty, let’s prepare the ground and understand the use case that will be developed.

Tools

If you desire to reproduce the examples that will be shown here, you will need some of those items below.

• NodeJS
• OpenAPI Specification
• Text Editor (I’ll use VSCode)
• Command Line

Use Case

To keep easy to understand, let’s use the Todo List App, it is a very common concept beyond the software development community.

#api #rest-api #openai #api-first-development #api-design #apis #restful-apis #restful-api

What Are Good Traits That Make Great API Product Managers

As more companies realize the benefits of an API-first mindset and treating their APIs as products, there is a growing need for good API product management practices to make a company’s API strategy a reality. However, API product management is a relatively new field with little established knowledge on what is API product management and what a PM should be doing to ensure their API platform is successful.

Many of the current practices of API product management have carried over from other products and platforms like web and mobile, but API products have their own unique set of challenges due to the way they are marketed and used by customers. While it would be rare for a consumer mobile app to have detailed developer docs and a developer relations team, you’ll find these items common among API product-focused companies. A second unique challenge is that APIs are very developer-centric and many times API PMs are engineers themselves. Yet, this can cause an API or developer program to lose empathy for what their customers actually want if good processes are not in place. Just because you’re an engineer, don’t assume your customers will want the same features and use cases that you want.

This guide lays out what is API product management and some of the things you should be doing to be a good product manager.

#api #analytics #apis #product management #api best practices #api platform #api adoption #product managers #api product #api metrics

54% of Developers Cite Lack of Documentation as the Top Obstacle to Consuming APIs

Recently, I worked with my team at Postman to field the 2020 State of the API survey and report. We’re insanely grateful to the folks who participated—more than 13,500 developers and other professionals took the survey, helping make this the largest and most comprehensive survey in the industry. (Seriously folks, thank you!) Curious what we learned? Here are a few insights in areas that you might find interesting:

API Reliability

Whether internal, external, or partner, APIs are perceived as reliable—more than half of respondents stated that APIs do not break, stop working, or materially change specification often enough to matter. Respondents choosing the “not often enough to matter” option here came in at 55.8% for internal APIs, 60.4% for external APIs, and 61.2% for partner APIs.

Obstacles to Producing APIs

When asked about the biggest obstacles to producing APIs, lack of time is by far the leading obstacle, with 52.3% of respondents listing it. Lack of knowledge (36.4%) and people (35.1%) were the next highest.

#api #rest-api #apis #api-first-development #api-report #api-documentation #api-reliability #hackernoon-top-story